19 August 2009

Seven Days




Seven Days
(セブンデイズ FRIDAY→SUNDAY
セブンデイズ MONDAY→THURSDAY)

Story : Tachibana Venio
Illustration : Rihito Takarai
Status : Thai Version by CNW (Volumn 1-2 Complete)
Price : 40 Baht / issue

-----------------------------

Warning : ฮิฯ ไม่ได้โดนยากล่อมประสาทนะคะ

แค่โดยน้ำมันพรายจาก Seven Days ไปเต็มๆ
จนต้องมาปั่นสดๆ ร้อนๆ ตอนอ่านจบบัดเดี๋ยวนี้เท่านั้นเองค่ะ XDDD

น่ารัก น่ารัก น่ารัก น่ารัก น่ารัก ที่สุดเลยค่ะ
เหมือนได้เจอหมีขนฟูนุ่มนิ่มตัวใหญ่เท่าประตูบ้าน
น่าฟัด น่ากอด น่าครอบครองเป็นเจ้าของ
โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นพุงใหญ่ๆ ใต้โบว์อันเขื่องของหมียักษ์แล้ว
จะอยากกระโดดเข้าไปซบใบหน้าลงไปคลุกคลีกับพุงนุ่มนิ่ม
ให้รู้สึกสงบเป็นที่สุด


เป็นเรื่องที่ emotional มากมาย
พูดน้อย หลากความหมาย 2 เล่มจบที่ประทับใจ และลงตัว
(ซึ่งน่าเสียดายมากที่มาเจอหมึกอ่อนๆ ของสนพ.เข้า T_T
ดูหน้าตา เนื้อตัวไม่ชัดเอาเสียเลย โฮโฮโฮ)
และเป็นเรื่องประทับใจเรื่องแรกที่ฮิฯ คิดว่า
ไม่อยากอ่านต่อ ไม่อยากให้มีภาคต่อ
เนื้อเรื่องสมบูรณ์ดีจนไม่รู้จะชมยังไงเลยค่ะ


ตัวละคร กับ เนื้อเรื่อง ดำเนินไปอย่างสงบเรียบร้อยมากเลยนะคะ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก่อนที่ ยูสึรุซัง(เคะ) จะตัดสินใจพูดหรือทำอะไรออกมา
ซึ่งเป็นฉากที่จะตัดไปทาง เซเรียว(เมะ) ตลอด
ว่าง่ายๆ คือ เราคนอ่านจะไม่ได้เห็นตอนยูสึรุซังคิด
กลับรู้สึกหนักหน่วง ยังกับเจอน้ำวนอย่างนั้นแหละ
ชอบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ
ยูซึรุซังเป็นกาแฟดีมีคุณภาพ เคะมอคค่าลาเต้ชัดๆ
(ขอเลียนแบบเคะวนิลามาดาร์กัสการ์นะคะ)


ฮิฯ คาดไม่ถึงเลยว่ายูสึรุซังจะเป็นคนปิดฉากด้วยมือตัวเองแบบนั้น
เพราะไม่ได้ตรงกับที่คิดไว้สักแบบ
ฉากจบที่คิดไว้ส่วนใหญ่เซเรียวจะเป็นฝ่ายลงมือเสียด้วย
ให้เหมือนสามารถพยายามจนกระแทกกำแพงตัวเองออกมาได้

แต่ยูสึรุซังช่าง...
เท่ห์ สวย สง่า ยังกับนกที่บินได้อิสระ และไว้ใจในสายลมใต้ปีกตัวเอง
ถึงจะไม่รู้ว่าสายลมที่ชื่อว่าเซเรียวจะรู้สึกอย่างไรกับตัวก็ตาม
แล้วยังเซเรียวที่ออกอาการ fidget ไปมาขณะคิดไม่ตกอยู่นั่น
สอดคล้อง ประสานกันได้อย่างดี ให้เกิดอารมณ์ร่วมได้ท่วมท้นเหลือหลาย

ฮิฯ คิดว่าส่วนหนึ่งที่เซเรียวชอบยูสึรุซัง
เพราะยูซึรุซังมีส่วนที่คล้ายกับชิโนะ ซึ่งกระโดดมาสวยขโมยซีนอยู่บ้างค่ะ
คือถ้าเอาชิโนะ กับ ยูซึรุมาเป็นพี่น้องกัน ก็เชื่อเลยล่ะ



พอคิดถึงชื่อเรื่องว่าทำไมต้องเป็น seven days
ความคิดมันก็พาลไปหาเรื่องตัวเลข 7 ในศาสนาคริสต์เลยค่ะ
the seventh day...
ในวันที่เจ็ดที่พระเจ้าพักผ่อนจากการสร้างโลก หมายถึง นิรันดร
เซเรียวใช้เจ็ดวันตามหานิรันดรของตัวเองเรื่อยมา
พ้นเจ็ดวันที่ไม่ใช่ ก็รีสตาร์ทใหม่อีกที
ทุกครั้ง ตั้งใจ คาดหวัง จริงจัง เผื่อว่าจะพบ...
จนพบเจ็ดวันที่จะกลายเป็นนิรันดรของตัวเอง
(แต่อันที่จริงอาจจะไม่เกี่ยวอะไรเลยก็ได้นะคะ อินี่เพ้อเจ้อตลอดศกค่ะ)


ทั้งที่คำพูดเรื่องนี้มันมีแต่ อ๊ะ เอ๊ะ อืม กระจายพรวดพราดเต็มหน้ากระดาษ
ทว่าการแปลสื่ออารมณ์สื่อความหมายออกมาได้ดีมากเลยค่ะ
ไม่สละสลวย แต่ straightforward เข้าคู่กับแนวเรื่องและตัวละคร
อ่านแล้วรู้สึกไม่มีหลุดคำที่ "เอ มันไม่น่าจะพูดแบบนี้" ออกมาเลย
สนุกได้อรรถรสจริงๆ


แอบเสียดายมากกกกก
ที่ทางสนพ. ไม่ได้ใช้ปก FRIDAY→SUNDAY ให้เป็นแบบเดียวกับ Original
ซึ่งเข้าคู่กันงดงามกับเล่มแรก



Seven Days สร้างประทับใจจนอยากรีบวิ่งไปซื้อมาเก็บ 2 copies เลยค่ะ
ไม่ได้ซาบซึ้งกับ y บนดินดีๆ ใสๆ มานานมากแล้ว
คู่นี้ของจริงไม่ติงนังนะเออ !

The Negotiator Refuses to be Silent


The Negotiator Refuses to be Silent
(交渉人は黙らない)

Story : Yuuri Eda
Illustration : Chiharu Nara
Status : Thai Version by CB
Price : 250 Baht

-----------------------------

อาร์ตเวิร์ค รอบนี้ ไม่เป็นที่พอใจเลยค่ะ
ตัวหนังสือชื่อเรื่องบนปกก็เหมาะดีอยู่หรอก แต่พอมองมุมล่าง
ชื่อผู้แต่งผู้วาดฟาดฟันกับซากุระแผ่วพลิ้วด้วยฟอนต์ลายจีน ??
เนื้อเรื่องย่อข้างหลังเป็นตัวหนังสือถั่วงอกยึกยือ
ครึ่งบนเป็นสีขาวตัดกับพื้นสีชมพู แล้วด้วยตัวอักษรที่อ่านยากเยี่ยงเน้ ??
ลักลั่นย้อนแย้งมากมาย (เอามั่ง)

ปกมันสวยของมันอยู่แล้วนะคะ ปลาคาร์พ ผิวน้ำ ซากุระ
ทั่วท่า โพสิชั่น หน้าตาจิกกันไปจิกกันมา
สีเสื้อผ้าที่เข้ากันเอง กลืนกับต้นซากุระ
แต่ช่วยหาฟอนต์ที่มันไปด้วยกันได้กว่านี้หน่อยได้ไหม TT_TT
นอกจากนั้นมือเฮียวโดยังใหญ่ยังกับขาช้าง
ตามไปหาภาพออริจินัลดู ก็พบว่ามือข้างนั้นโดนอักษรบังตลอด
เลยไม่รู้ทราบว่าที่ใหญ่นี่คือของเดิม หรือแต่งภาพได้อะเฟรดกันแน่

อาร์ตเวิร์คในเล่มดูลวกๆ เหมือนเล่มก่อนๆ ของ cb จะดีกว่านี้นะคะ
ตัวหนังสือชิดขอบเกินไปนิ๊ดเดียว ถ้าขยับเข้าไปอีกหน่อย
ให้เหลือพื้นที่วางนิ้วมากกว่านี้จะดูเหมาะเจาะพอดี
และตัวหนังสือชื่อเรื่องที่มุมซ้ายล่างทั้งหนาทั้งหนัก
เมื่ออยู่ติดกับขอบเนื้อเรื่องด้านล่าง และเชิงอรรถแล้ว
กลายเป็นจุดนำสายตา น่ารำคาญมากมายค่ะ


การแปล ยังรู้สึกเกร็งๆ อยู่ ถ่ายทอดเนื้อความครบถ้วนก็จริง
ตัวเนื้อเรื่องกับความสนุกกระโดดโลดไปก่อน
ทว่าอารมณ์ยังไม่ได้ระดับเดียวกัน
มีหลายจุดเลยค่ะที่ฮิฯ รู้สึกแบบนั้น
ตรงนั้นน่าจะดราม่าได้มากกว่านี้ ตรงนี้น่าจะรุนแรงได้มากกว่านั้น
เชื่อว่าเล่มสองจะผ่อนคลายการแปลมากขึ้นนะคะ เล่มนี้ดูเกร็งไปจริงๆ
เหมือนกับผู้แปลพยายามแปลอย่างมาก ตั้งใจสุดๆ จนมากเกินไปน่ะค่ะ
ประมาณโกโก้ครั้นซ์ท่วมทุ่งข้าวสาลี
ผิดกับตอนเข้าพระเข้านาย แปลได้ฉลุย เหมือนขับคูโบต้ามาเกี่ยวข้าวค่ะ *v*




ภาพประกอบ ก็...
อ่านเนื้อเรื่อง ... พลิกกลับมาดูเฮียวโดปากเยิ้ม
อ่านเนื้อเรื่อง ... พลิกกลับมาดูเฮียวโดปากเยิ้ม + พินอัพ
อ่านเนื้อเรื่องอีกที ... พลิกกลับมาดูเฮียวโดปากเยิ้มอีกที
อ่านเนื้อเรื่องอีกที ... พลิกกลับมาดูเฮียวโดปากเยิ้ม + พินอัพอีกที
เอ่อ -_-' อาจารย์แน่ใจหรือคะว่านี่คนเดียวกับในเรื่อง
ทำไมพ่อโรคจิตมันดูเป็นสุภาพชนผิดกับรูปเยี่ยงเน้ (ไม่นับตอนวีน)
ภาพของอาจารย์เก็บรายละเอียดของผู้แต่งได้ครบถ้วนมากค่ะ
ครบถ้วนมากจริงๆ ตัวหนังสือบรรยายไว้อย่างไร
ภาพนี่เป๊ะ เป๊ะ เป๊ะ ไม่มีหลุดความเป็นผู้วาดออกมาเลย
ยังกับผู้แต่งมาวาดเองก็ว่าได้
ยิ่งภาพสุดท้ายนี่อีโรติคคุมากๆ ตรงกับรายละเอียดที่เขียนไว้หมดเลย
เห็นแล้วแบบ...อุอุ คุณเมบุกิเป็นเคะจริงหรือคะ ดูเกินหน้าเกินตาไปรึเปล่า



-------------------------



เรื่องราวในโลกของผู้ใหญ่โตแล้ว ที่รู้สึกว่าเขาเป็นผู้ใหญ่กันจริงๆ ค่ะ
เนื้อเรื่อง ที่ดำเนินไปส่งเสริมให้ตัวละครสร้างการตัดสินใจที่เหมาะกับอายุ
บุคลิก และบทบาทมาก ไม่ใช่อะไรๆ ก็ง้องแง้ง หรือท่าดีทีเหลว
หลายเรื่องที่พยายามอัพแมน ให้ตัวละครดูเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว
แต่ความเป็นเด็กก็ยังฉายให้เห็นชัดจนเกินไป
ทนต่อไปไม่ไหวก็ใช้กำลังภาายในออกมาแผลงฤทธิ์แล้วตัดจบซะงั้น -__-
จะว่าเรื่องนี้ตัวละครดูไม่มีความเป็นเด็กเลยก็ไม่ใช่ค่ะ
เพียงแต่การแสดงออกดูไม่ไร้สติจนเกินไปเท่านั้นเอง
ทำทุกอย่างตามอารมณ์ และก็ยังมีกรอบของความตั้งใจจริงครอบอยู่

น่าเสียดายที่เนื้อเรื่องดูสรุปคลุมเครืออยู่ว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้คุณเมบุกิ
ลุกขื้นมาเดินทางใหม่จริงๆ เพราะหลังจากจบม.ปลาย
แม้จะโดนเฮียวโดฆ่าตัวเองคนเก่าไปแล้ว
พอทำงานก็ยังรับราชการ เป็นอัยการ จากนั้นก็เป็นทนาย
เติบโตไปตามทางเดินที่ทางบ้านกำหนด (ทั้งที่คนตีกรอบก็ตายไปแล้ว)
เพราะเนื้อเรื่องบอกว่าพ่อฆ่าตัวตายหลังจากเป็นทนายไม่นาน
แต่อะไรคือเหตุผลจริงๆ ที่ออกมาทำร้านแมวเหมียว ?
เหมือนจะเคลียร์ แต่ก็ไม่เคลียร์



คุณเมบุกิ เธอเป็นเคะที่เหมาะจะเป็นหัวหน้าครอบครัวมากเลยค่ะ
แมน สวย หล่อ มีความรับผิดชอบ มั่นใจสูง เชื่อในตัวเอง
เหมาะจะเป็นพ่อคนยิ่งกว่าเฮียวโดเยอะ !
(รายนั้นบางทีก็ดูมีคลาส แต่อีกด้านเหมือนหญิงวัยทอง -"-)
แถมตอนที่เข้าไปในร้านแล้วได้ดูเซอร์วิสดีๆ มองก้นสาวเมดคนโน้นคนนี้
น่าร้ากกกกกกกกกกกกกกกกกก 555
ยิ่งเจอเฮียวโดตอบกลับว่า 'ถ้าเป็นก้นรุ่นพี่ผมคงมีอารมณ์'
ยิ่งทำให้อยากเห็นคุณเมบุกิในชุดเมด หรือผ้ากันเปื้อนเดี่ยวๆ เข้าไปใหญ่

และเธอดูเป็นผู้ใหญ่ที่เติบโตมาก
แม้จะก้าวผ่านอุปสรรคของตัวเองไม่ได้เต็มร้อย
เธอก็ยังเข้าใจว่าตัวเองมีปมโน้นปมนี้ ที่สักวันต้องก้าวผ่านไปให้ได้
ในตอนที่ยอมรับว่ากอดของเฮียวโดรู้สึกดี
เธอเหมือนกับนกอพยพเลยค่ะ แม้จะบินไปได้โดยอิสระ
แต่ก็ยังก็ตอบรับเสียงเรียกร้องของสัญชาตญาณ ของธรรมชาติ
บินมุ่งหน้าไปตามแรงดึงดูด ผ่านมหาสมุทรมาไกลแสนไกล
แล้วก็เจอเฮียวโดเป็นกิ่งไม้ให้เกาะพักเหนื่อยพอดี
ถึงไม่อยากพัก อยากบินไปถึงฝั่งให้เร็วที่สุด แต่ก็ต้องพัก
และยอมรับว่าการได้พักนั้น ทำให้รู้สึกดีเหลือเกิน


เฮียวโด นี่น่ารักน่าแกล้งกว่าคุณเมบุกิอีกค่ะ
เหมือนแกเป็นภาคอวตารมาจากนิกิเน่า
แต่เขาไม่ได้มาแบบมีกลิ่นแพนเค้กหวานฉ่ำ หรือแป้งลดหมดรักติดตัว
พี่แกมาแบบเหมือนมีวงไสยเวทย์ปีศาจน้อยติดเท้าอ่ะ *v*
เพราะเฮียวโดก็ก่งก๊งเหลือเกินในเรื่องเกี่ยวกับความรัก
ไม่สามารถให้นิยาม และบรรทัดฐานได้
ต้องรอให้คนมาสะกิดถึงรู้ตัว
อ๊ายยย แกเป็นพี่ชายใจร้ายที่พลัดพรากกันไปของนิกิเน่าคุงหรือเปล่ายะ?
คิวท์ตี้ฮันนี่ที่สุด *-----------------------------------------------*

แถมอีตานี่ทำตัวสุภาพเหลือเกิน ตั้งแต่โคนจรดปลายผม
จนอิฉันนึกว่าพี่แกเพิ่งออกมาจากโรงเทศน์ ไม่ใช่ยากุซ่า
โดยเฉพาะถ้าไม่มีรูปหน้าตาจิตแตก ปากแดงเยิ้มให้ดูแต่ต้นมือ
คงแบบว่า...แกเป็นอาม่าร้านขายบุหรี่ตรงหัวมุมสี่แยะเรอะ -_-'

แอบทั้งเซ็งทั้งปลื้มตรงที่ว่า แหม คนอื่นเขาตัดหน้ากันไปครึ่งทางแล้วนะ
นี่หล่อนยังไม่ได้แอ้มอีกเรอะ *กรอดดดด*
ไม่ได้เหมือนพระเอกเรื่องอื่นเขาเลยนะยะคะ
ปกติถ้าแฟนโดนมาอย่างโน้นอย่างนี้เขาต้องมีถอนพิษชนิดฟูลคอร์ส
ตาเฮียวโดเป็นเมะตกมาตรฐานอย่างแรงค่ะ
นี่ย่ะ ! เอาไป seme handbook รู้จักอ่านซะมั่ง !! *เสือกไสใส่มือ*
อีกอารมณ์นึงก็คิดว่าเฮียวโดช่างทำอะไรได้เอาแต่ใจ
แต่เป็นผู้ใหญ่เอามากๆ เช่นกัน ทะนุถนอมจนไม่ลืมหูลืมตาก็ว่าได้เชียวล่ะ


ถ้าคุณเมบุกิเป็นแมว เธอก็เป็นแมวป่าใหญ่ ลายหินอ่อน
มีเส้นหลังไหล่เป็นอาวุธ เล็บคมกริบทั่วตัว
เฮียวโดก็เหมือนเคลเบรอสน้อย ตอนอยู่กับแมวใหญ่เป็นลูกหมาน่ารักเชื่องๆ
ซุกไซร้หน้าซ้ายขวาลงไปในขนอ่อนนุ่มของพี่แมวตัวสวย
พอต้องออกไปฟัดค่อย ขยายยย ร่า..งง

รัชทายาท



รัชทายาท
(太子)


Story : เฟิงน่ง
Illustration : หวางอี
Status : Thai Version by FU
Price : 250 Baht / issue

-----------------------------




กว่าจะมาเป็นเล่ม

ชอบ รูปเล่ม จริงๆ ค่ะ
การยิง spot uv ของเล่มนี้
สวยถูกใจเป็นที่สอง ของหนังสือนิยายทุกเล่มเท่าที่เคยเจอมาเลยค่ะ
ด้านดอกเบญมาศด้านหน้า(เดามั่วนะคะ)
ที่คร่อมมาถึงสันปกด้านล่าง
และดอกเหมยด้านหลัง(นั่งทางในอีกเช่นกัน)
ที่คร่อมมาถึงสันปกด้านบน
สวยประทับใจจริงๆ ค่ะ

กับ layout ด้านใน
ที่ย้ายรายละเอียดเกี่ยวกับตัวหนังสือไปไว้ด้านหลัง
ทำให้ข้างหน้าดูราบเรียบ งดงาม และมีมนต์ขลังมาก

เนื้อในก็ไม่เหลือพิมพ์ผิดกับตัดคำไม่สวยไว้ให้คนอ่านจับผิดเลย
เดี๋ยวนี้ทีมงานโปรขึ้นทุกวัน ^^


ภาพปก ก็จับใจ สีหน้าตราตรึงอย่างว่าจริงๆ ค่ะ
สีหน้าสีตาเส้นผม คมกริบ ส่ออารมณ์ลึกล้ำ
ในขณะองค์ประกอบอื่น ดูละลายๆ
คล้ายอยู่ในฝันแสนหวานอันเจ็บปวดก็ไม่ปาน
ชายเสื้อ ชายผ้าผูกผมงี้...
แล้วสีเสื้อของเคะที่ยังกับสะท้อนสีเสื้อเมะมานิดๆ
โอยยย ทั้งเล่มมีภาพเดียวก็สุดคุ้มแล้ว T_T


--------------------------------

กว่าจะมาเป็นเรื่อง

ตอนแรกๆ อ่านไป 1/3 เล่ม ก็คิดว่า ทำไมดำเนิน เนื้อเรื่อง เร็วจัง
ผิดวิสั๊ยยยย ผิดวิสัย
แต่กรองดูดีๆ นี่มันยังไม่ไปไหนเลยนี่นา !
จับเข้ากรง >> ปลุกๆ ปล้ำๆ >> เปิดม่านโชว์ตัวป่วน >> ลากมาไว้ข้างตัว
พระ-นายยังไม่ได้พูดอะไรเป็นเรื่องเป็นราวนอกจากอิ๊ๆ อ๊าๆ สักคำ - -'

คงเนื่องจากเป็นซีรี่ส์ 5 เล่ม ที่ปล่อยออกมาพร้อมกันทีเดียว
เนื้อหาก็คงโดนตัดเป็น 5 ส่วนอย่างชัดเจน
เพราะในเล่ม 1 นี้ ดูจะยังไม่มี conflict เด่นชัดของเรื่อง
น้ำหนักต่างๆ ก็ยังไม่ชัดเจน
เป็นการปูพื้นสถานการณ์ แสดงความสัมพันธ์ นิสัยของตัวละคร
และหยอดทิ้งไว้ให้สงสัยอยู่หลายจุดมากกว่า
ฮิฯ อดสงสัยไม่ได้เลยว่า

ฮ่องเต้ท่านจะมีบทบาทไหม?
การที่ถูกเอาอำนาจมาพาดพิงให้เกิดเหตุการณ์ในเรื่อง
ย่อมเป็นความปกติค่ะ แต่มีหลายอย่างเหลือเกินที่ฮ่องเต้
ในเรื่องนี้น่าเอะใจ ราชโองการก็ถูกนำมาใช้จนเฝือมาก
และคำสั่งบางประการ ก็ดูมีเลศนัยพิก๊ล

อาร์ทตัวแม่ทุกคน จะซูเฟย ลี่เฟย โน่นนี่เฟยก็ดี
ล้วนถูกพูดถึงให้เหมือนจะได้มีบทบาทได้ก้าวก่ายในเล่มอื่นทั้งสิ้น
ประกอบกับ talk หลังเล่มด้วย เลยกะว่าคงได้เห็นฝีไม้ลายมือกันแน่ๆ


อ่านจบ คิดเหมือนกับคุณเฟื่องผู้แปลเลยค่ะ
ว่า โอ๊ย โย๊ย โย๋ คุณเฟิงน่งแหวกม่านประเพณีแล้ว! >o<
เพราะเรื่องนี้ ทั้งความคิดจิตใจ
และบทพูดของไข่มุกในอุ้งมังกรนั้นน้อยนับคำได้
เรียกได้ว่าทุ่มเทให้ตัวมังกรเองและแฟนเซอร์วิสมากๆ

เช่น ฉากเรียกน้ำตา (แต่ทำไมมันร้องไห้ง่ายกันนัก)
และอารมณ์อัดเก็บกดสองสามฉาก
ที่แสดงความเป็นเด็ก อยากได้ อยากมี อยากเป็น
หนูจะอ๊าวว หนูจะเอา
เหล่านี้...เมะคร่ำครวญในใจได้คบกริบเลือดซิบๆ เลย

กับที่คิดเหมือนกันอีกอันคือการให้ความสำคัญในครอบครัว
ชนิดแยกแม่ ก็แยกเลือดแบบนี้
ข้อเท็จจริงที่ว่าถึงการ incest หมดไปแทบไม่รู้ตัว
โดยเฉพาะในสังคมโบราณ และอย่างยิ่งเป็นสังคมจ้าวด้วยแล้ว
เทียบกับความรู้สึกของคนในสังคมปัจจุบันไม่ได้เลย
ยิ่งชัดเจนเมื่อเอามาอ่านเทียบกับพวกนิยายปัจจุบันที่เป็น incest
การเน้นเรื่องศีลธรรมด้านนี้ผิดกันมากทีเดียว



ตัวละคร ในเรื่องนี้ ทำให้ฮิฯ หงุดหงิดเหลือเกินค่ะ
จะเมะก็ดี น้องเมะก็ดี ตัวพี่เมะก็ดี
ร้องไห้กันสมชายชาตรีอกสามศอกหกวามากมาย -"-
แถมนิสัยก็...เฮ่อ ลูกแหง่กันทุกคน!
แต่พอระลึกชาติได้ว่า 3 ตัวละครหลักอายุ 16 กันทั้งนั้น
ก็...เออ เข้าใจล่ะ ว่าการที่พระเอกมันน้อยใจแบบนี้
พระน้องมันดิ้นปัดๆ ทุรนทุราย อะไรก็อ้อนแม่แบบนี้
นับได้ว่าสมศักดิ์ศรีวัยวุฒิอยู่
(ตอนแรกพาลไปเทียบกับลำนำ แต่อันนั้นเขารุ่นไลท์เวทกันแล้ว
พวกหนุ่มๆ รัชทายาทนี่ยังเฟเธอเวทอยู่เลย)


สรุป ยังไม่มีอะไรจะให้เครซี่ คร่ำครวญ หวนไห้
คงต้องไปต่อกันเล่มหน้าสินะคะ (แง๊ววว อยากอ่าน!!)

Knight of the Glasses




Knight of the Glasses 1
Auther's Gardian Series
( 硝子の騎士 アーサーズ・ガーディアン )


Story : Unit Vanilla
Illustration : Ai Hasukawa
Status : Thai Version by SW
Price : 270 Baht

-----------------------------


สารที่ใช้ทำการทดลอง : เด็กแว่น, หนุ่มแว่น
เวลาในการทำปฏิกิริยา : สองเดือน
ระยะเวลาในการทำการทดลอง : สามหาว สี่ขยัก (กว่าจะจบ)




กว่าจะมาเป็นเล่ม...

เริ่มจาก ปก ก่อนเลยนะคะ
ตัวหน้าปกไม่มีอะไรน่าติ ดูสมบูรณ์

กระดาษด้านเนื้อดี ขนาดเหมาะพอดีมือ
รูปปกชวนซื้อ ด้วยท่วงท่า เศษกระจก ขนนก

ดูแล้วน่าจะมีอะไรในกอไผ่ให้ค้นหา


แต่สัญลักษณ์กราฟฟิคของ sweet novels ที่ออกแบบมาได้ดูสวยงาม
พอมาแปะอยู่ที่สันปก กลับไม่รู้เลยค่ะ ว่าเป็นนิยายค่ายไหน
อยากแนะนำให้แยกคำว่า sweet novels มาไว้ข้างใต้กราฟฟิครูปหัวใจ
จะสามารถอ่านได้ชัดเจนขึ้นมากค่ะ ^v^


ส่วนชื่อเรื่อง เข้าใจว่าเขียนผิด glass -> glasses
ด้านหลังปก ที่มีสัญลักษณ์ตราอาร์มอยู่ ดูสวยดี น่าเกรงขาม
ทว่า...พอเหลือบไปอ่านเรื่องย่อข้างบนแล้ว
อุ แม่เจ้า บทแปลไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด

การจัดหน้านี่สิ อลหม่านกันทีเดียว
เป็นการจัดย่อหน้าที่น่าเกลียดมากค่ะ -""-
วรรคตอนครึ่งล่างตัดประโยคเป็นคำ สองคำ สามคำ
การตัดประโยค ขึ้นบรรทัดใหม่ไม่มีความต่อเนื่อง ขาดๆ เกินๆ
เหมือนเอาเนื้อเรื่องย่อโปะลง word processor
แล้วสั่งจัดบรรทัด column ไม่เกินเท่านี้เซ็นเพื่อให้เนื้อความพอดีขนาดปก
การแปลสามารถอ่านเข้าใจได้ค่ะ แต่การจัดหน้าทำให้อ่านไม่รู้เรื่อง


เลย์เอาท์ ของเล่มนี้ แต่ละบทขึ้นต้นด้วยแว่นตาก็เหมาะสมดีค่ะ
เหมือนกับที่เรื่องนี้พยายามชูแว่นตาให้เป็นโมเอะพอยนท์
แต่ที่ดูไม่สื่อความหมายเลย คือเถาวัลย์ดอกไม้ใต้เลขหน้า
ถ้ากะวางเอาสวยๆ ก็...ดีค่ะ จัดตำแหน่งดี

ขนาดเล็ก ไม่เกะกะรบกวนตัวหนังสือ
เพียงแต่มันไม่เข้ากับเนื้อเรื่องเท่านั้น เลยออกจะดูเกินๆ
เพราะโดยปกติแล้ว เลย์เอาท์ส่วนนี้

มักจะถูกวางให้เข้ากับธีมหนังสือเสมอ

ช่องไฟ ของ เนื้อหา บทต้นๆ วางไม่ค่อยสวยค่ะ

แต่บทต่อๆ ไปก็พบน้อยลง
การตัดวรรค ตัดคำ ตกหล่นบรรทัด มีบ้างประปราย
ไม่มากจนถึงขั้น อ่านๆ อยู่ เอ๊ะ เสียอารมณ์ เอ๊ะ เสียอารมณ์


ที่ตกอกตกใจจริงๆ คือ ด้าน การแปล O{ }O
เรียกได้ว่า เหวอออออ กันทีเดียว

เมื่อคิดถึงเนื้อเรื่องย่อที่ได้อ่านเมื่อหลายเดือนก่อน
ไม่ถึงกับสละสลวย แต่แปลออกมาค่อนข้างดี

ไม่มีงงค่ะ (ในด้านการแปลนะ)
คงเพราะเคยผิดหวังกับการแปลเรื่องก่อนหน้านี้

จึงไม่ได้คาดว่าเล่มนี้จะดีเลิศ
แต่พออ่านได้แบบนี้ ก็อัพเกรดอารมณ์ขึ้นมาได้เยอะทีเดียว
และที่สงสัย catch up preview

บทพูดของฟุตาบะ-คุณพ่อ หายไปอย่างไร้ร่องรอย ??
(หน้า 91 เหมือนคำมันเกินๆ มา อ่านแล้วขัดแข้งขัดขากับประโยคก่อนหน้า
"หน้าที่ของทาคาเนะคือ....คนที่ไม่ได้สวมแว่นสามารถเป็นคนเลวร้ายได้..."
น่าจะเป็น คนที่สวมแว่น มากกว่าค่ะ)


ภาพประกอบ นี่สิคะ กะว่าจะได้นั่งจ้องเสน่ห์หอมฟุ้งของพระ-นาย
ใต้การวาดลวดลายของอาจารย์ไออย่างมีความสุข
แต่อยากบอกว่า ภาพพวกนี้ แป้กมากๆ เลย T_T
ไหนล่ะอโรมาติกหอมฟุ้ง ไหนล่ะโมเอะพ้อยนท์

ไหนล่ะน้องเคะเซะซี่บนหน้าปก
เล่มนี้ไม่ปลื้มอย่างแรง เคะที่ดูน่าลุ่มหลงบนปก กลายเป็นเด็กกะโปโล
แว่นอันเป็นโมเอะพ้อยนท์ก็ไม่สามารถดึงเสน่ห์ของตัวละครออกมาได้
หน้าผา หม้อรามชามไห เครื่องบิน
ภาพเคะเมะภายใน

ก็ไม่เปล่งประกายบลิงค์บลิงค์ผิดหน้าปกลิบลับ TxT อาร๊ายยย
สรุปคือภาพประกอบของอาจารย์ชุดนี้ไม่ปลื้มเป็นอย่างมาก !


----------------------------------

กว่าจะมาเป็นเรื่อง...

มาจะกล่าวไป ถึง ตัวละคร ชุดใหญ่ มีตั้ง...สองตัว
(กับตัวประกอบไม้ประดับอีกสี่ซ้าห้าคน)

ฟุตาบะคุง น้องเคะแว่น ที่พยายามมองโลกในแง่ดีให้มากที่สุด
ใครใส่อะไรมา แกก็ตอบกลับไปแบบร้ายกลายเป็นดี ดียิ่งดีขึ้นไปอีก
มีนิสัยตัวนิ่มก๊องแก๊งมาก ขนาดที่ว่าโดนลักพาตัวไปอยู่ที่ไหนไม่รู้
แกก็ยังชมว่า เตียงนุ่มอย่างนั้น ผ้าปูชั้นดี น่าเอาไปใช้กับโรงแรมแบบนี้
คงให้ความรู้สึกหรูหราฮัลเลวังก้า ต่อยอดได้อีกยาวไปทุกเรื่อง
อ่านแล้วแบบว่า เอ๋อเหร๋อยะ

ถ้ามีตัวหนังสือ ก๊องง ตัวใหญ่ๆ ตกลงมาบนหัว
ให้หล่อนก็คงเอามือคลำป้อย แล้วหัวเราะแหะๆ สินะ
แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ รู้สึกคุณน้องเคะเธอทำได้ไม่เป็นธรรมชาติ
เพราะฟุตาบะเป็นเด็กที่รู้จักโลกภายนอกค่อนข้างดีอยู่แล้ว
รู้จักว่าหน้าไหว้หลังหลอกคืออะไร รู้จักหน้ากากสังคม
วิถีชีวิตแบบคนธรรมดา ทั้งที่กำหนดให้มาเป็นคุณหนูติดดิน
ทว่า...อ่านไปก็ติดจะหมั่นไส้

เหมือนกับพยายามทำให้อินโนเซนท์เหมือนนิกิเน่า
ซึ่งมันคอมบิเนชั่นออกมาแล้วแบบ...ไม่ใช่อะกิ๊บ
ปมที่ให้มาตอนแรกก็ดูเหมือนจะสร้างตัวละครสามมิติได้
แต่อ่านไปยังไง๊ ยังไง ไอ้หนูนี่มันก็พลานาเรียตัวแบนๆ
ยิ่งรวมกับฝีมือช่างที่ให้มา ยิ่งแบบ...มันขัดกันไปหน่อยไหม?


ทาคาเนะ พระเอก ที่ดูตามบทบาทแล้วน่าจะแข็งเป็นกล่องสีเหลี่ยมลูกบาศก์
เนื้อเหล็กอัดแน่นแข็งแกร่งยากที่จะมีอะไรซอกซอนเข้าไปได้
แต่พออ่านจริงๆ แล้ว ทำไมรู้สึกว่าเมะคนนี้ยิ่ง...แง่มม แฮ่มๆ
จินตนาการบรรเจิดเลิศพล่านเสียยิ่งกว่าเคะคนข้างบนอีก *-*
แบบว่าพี่ทาคาเนะแก ไม่เกรียน ไม่ก๊อง ไม่ต๊อง ไม่แต๊งก็จริง
ความเนิร์ดนี่สิ มากถึงมากที่สุด ถ้าพี่แกไม่เอาวิชาการ
หลักเหตุและผลต่างๆ มาเป็นหลักฐานในการจูงใจ
ซัพพอร์ตร้อยกับแปดสมมติฐานสารพัดที่แกสร้างขึ้น
คงกลายเป็นเมะเกรียนเทพไปแล้ว แค่เป็นผู้ใหญ่เนิร์ดพี่แกยังถึงแค่นี้
ไม่รู้ว่าแบกรับชะตากรรมโลกอะไรให้คิดนักคิดหนา
(เขาว่ากันว่าความเกรียนกับเนิร์ดนี่ห่างกันแค่ทิชชู่กั้นสินะ

เหมือนอัจฉริยะกับคนบ้า)


สองตัวละครนี้ ต่างก็มีนิสัยต่างกัน คนนึงก็ขวาสุดโต่ง อีกคนก็ซ้ายสุดโต่ง
ทั้งที่สูตรเคมีไม่เข้ากัน แต่ก็ยังได้ผลสำเร็จออกมาถูกต้องอยู่ดี
(คล้ายๆ กับโยนซูกัสใส่เป๊ปซี่แทนที่เมนทอสแล้วแก้วก็ยังระเบิดนั่นล่ะ)
ดังนั้นเวลาที่ต่างคนต่างรู้สึกชอบจึงเหมือนกับมันไม่เป็นไปตามที่ควรเป็น
เคะเอาวิธีฤๅษีแปลงสารต่างๆ มาใช้

แล้วก็บอกว่าเมะเป็นอย่างนู้นอย่างนี้แล้วก็ชอบ
เมะก็ตกหลุมรักรอยยิ้มแรกเจอเอาดื้อๆ ซึ่งอันที่จริงแล้วมันก็แค่ขัดแย้งกัน
กับ 'ความคิดไปเอง' ที่ตัวเองสร้างอิมเมจของเคะเอาไว้ตามข้อมูลที่เห็น
พอเจอตัวจริงไปนานๆ เข้ามันผิดอิมเมจ ข้าก็ชอบซะ
เหมือนเมะมันสะกดจิตตัวเองให้สร้างสถานการณ์

'จงชอบเคะ' ได้อย่างไรอย่างนั้น @_@


เนื้อเรื่อง จริงๆ ก็ดูเหมือนโดนปักหมุดซ่อนตรงโน้นตรงนี้ หยอดปมไว้
แต่ก็ทำให้เดาได้ไปทุกอย่าง ไม่เห็นว่าจะมีส่วนเนื้อเรื่องตรงไหนที่เข้มข้น
และไม่เติดเวอร์ระเบิดเถิดเทิง ให้สมเหตุสมผล
เหมือนกับที่เมะพยายามให้บรรทัดฐานเคะได้เลยสักอย่าง
ความที่สถานการณ์ในเรื่องดูไม่ลื่นไหล

กระฉึกกระฉักเหมือนรถไฟ ไปๆ จอดๆ
กับการสลับฉากที่แบบว่า...เฮ้ย ตรงนี้มันเป็นไงมาไง
ยิ่งอ่านแล้วแบบ unit vanilla เขียนจริงหรือคะ
ทำไมมันไม่สนุกขนาดนี้อ้า T^T


สรุปแล้ว การแปลไม่น่ากลัวอย่างที่คิด
แต่เนื้อเรื่องนี่...จะรอเล่ม 3 ที่เขาว่าสนุกๆ กันนักหนาดีไหมเนี่ย ?