
Silent Desire ไฟปรารถนา( ひそやかな情熱 )
Story : Toono Haruhi
Illustration : Enjin Yamimaru
Status : Thai Version by FY
Price : 260 Baht
Price : 260 Baht
------------------------------
ไม่รู้ว่าช่วงนี้เป็นอะไรมือซ้ายหยิบนิยายมาอ่าน...ซึน
มือขวาฉกการ์ตูนมากาง...ซึน
ปล่อยสองมือแล้วเอนตัวลงดูหนัง...ซึน
ทำไมฮิฯ ตะกายไปทางไหนก็รู้สึกว่ามีความซึนอยู่รอบตัวก็ไม่ทราบค่ะ TvT
เคยพูดทีเล่นทีจริงว่างานของอาจารย์ Tono Haruhi เหมือนเสี่ยงโชค
เท่าที่มีแปลในไทย นับนิ้วได้น่าจะเกือบสิบเรื่อง
มีเรื่องที่เขียนได้เลิศรส พอเหมาะพอดี กล้อมแกล่มอ่านได้ ปะปนกันไป
แต่ก็ไม่เคยมีเล่มไหนที่อ่านแล้วเสียดายเงิน
จากเรื่องแรกที่เคยประทับใจเข้าอย่างจัง...ดอกไม้ในมือโจร (ซึน)
มาสู่เรื่องนี้ที่กระทบใจดังแผ่วเบา...Silent Desire ไฟปรารถนา (นี่ก็ซึน)
------------------------------
กว่าจะมาเป็นเล่ม
การแปล... ขอใช้คำว่าสละสลวยเลยค่ะ
ไม่ใช่การใช้คำที่งดงาม เยิ่นเย้อ ไปทุกอิริยาบท
แต่เป็นการเลือกใช้ความอ่อน-แข็ง-กระด้าง-นุ่มนวลของแต่ละฉากได้ดีมาก
โค้งที่ควรโค้ง ตรงที่ควรตรง
อ่อนหวานที่ควรอ่อนหวาน ร้อนแรงที่ควรร้อนแรง
นึกไปถึงคำที่เมะชอบใช้ว่า "ใช้คนให้ถูกงาน"
ผู้แปลท่านนี้ก็เลือก "ใช้คำได้ถูกเวลา" จริงๆ ค่ะ
โดยเฉพาะบทอัศจรรย์ที่มีน้อย
แต่อ่านตรงไหนก็หน้าร้อน เนื้อเต้นไปหมด XQQQ
ส่วนคำพิมพ์ผิดมีประมาณสิบคำค่ะ
รูปเล่ม สวย ได้มาตรฐานค่ะ จะมีก็แต่ pin-up ที่ดูแปลกหน่อย
คือมีขอบสีน้ำตาลด้านในที่เอามาปิดตัวอักษร original หนาไปหน่อย
ทำให้รูปที่มาเกือบเต็ม (ขาดเท้าเคะไปนิดนึง)
ดูเสียดุลยภาพค่ะภาพมันเทซ้ายมาเลย
ถ้าแถบปิดตัวอักษรสีน้ำตาลบางกว่านี้ คงรู้สึกเฉยๆ ค่ะ
(ทางผู้จัดทำบอกว่าการที่ภาพเทซ้าย เพื่อไม่ให้ตัวภาพโดนกิน
เวลาไสกาวเข้าเล่มค่ะ จึงผลักภาพออกมาทางซ้ายเพื่อให้ผู้อ่าน
ได้อิ่มอรรถรสของ pin-up ที่สมบูรณ์)
ด้านภาพประกอบ ปกนี่สวยเหมือนภาพสีน้ำเลยค่ะ
ดูไม่ตั้งใจดี (ไม่ใช่ชุ่ยนะคะ ^^")
ใช้สีโทนเย็น แต่เร่าร้อนได้ แบบว่า...อาจารย์เอ็นจินค้าาา >O<)bbbbbbbb
โฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ทำได้ยังไง
แต่ภาพประกอบด้านใน...
ฮิฯ ว่าสกรีนโทนในบางภาพ ดูแปลกๆ ยังไงบอกไม่ถูก
คือตัวเนื้อภาพดูยั่วยวน แต่สกรีนโทนเหมือนฉากโดยต่อย =.= ????
ในส่วนของ artwork ชอบชื่อเรื่องที่อยู่ในมุมซ้ายล่าง (แบบเดียวกับสันปก)
กับเส้นคั่นระหว่างบทค่ะแม้จะเป็น font เดียวกับหน้าปก
แต่พอเอามาเรียงเป็นบรรทัดเดียวแล้วมีเส้นขีดข้างล่าง
ต่อมาจากตัว D ลากผ่านใต้คำว่า Silent แล้วเส้นหนา
มีการบิดเบี้ยว คอดบางในส่วนต้น ดูแสดงออกถึงความไม่มั่นใจแต่ไม่มั่นคง
(มั่วถั่วได้เรื่อยค่ะ กรุณาอย่าใส่ใจ)
------------------------------
กว่าจะมาเป็นเรื่อง
แค่ ชื่อเรื่อง ก็เหมาะเจาะเหลือเกินแล้ว สื่อตรงถึงเนื้อหา
การดำเนินเรื่องบุคลิกตัวละครอย่างชัดเจน เหมือน spoil แต่ก็ไม่ spoil
ที่ว่าเหมือนคือเมื่ออ่านจบแล้ววกกลับมาดูจะรู้สึกว่า spoil มากอย่างแนบเนียน
แต่แน่ล่ะ คนที่ยังอ่านไม่จบก็...อะไรชื่อเชยๆ ธรรมดา -- --
เวลาอ่านนิยายสมัยนี้ หลายเรื่องแทบจะไม่พูดถึงในส่วนนี้เลย
คือ ช่องว่างของเวลา ในเรื่อง
ทำให้รู้สึกว่าดำเนินเรื่องเร็วเกินไป ตัวเอกยอมรับความรู้สึกเร็วเกินไป
เหตุการณ์นี้เกิดเร็วเกินไป จนถึงเวลาที่เร็วเกินไป
ในการเปิดเผยสิ่งที่หยอดไว้ตั้งแต่ต้น
ความเร็วมีตั้งแต่ 1 วันจบ, 3 วันจบ,
สองอาทิตย์จบ, 1 เดือนจบ ภายในเล่มเดียว
และส่วนใหญ่ถ้ามีเรื่องราวยาวกว่า 3 เดือน
อย่างเช่น พอจากกันไปอีก 4 ปีมาพบกัน ก็มักจะวางไว้ในบทจบสรุปแล้ว
3 ใน 4 ของเนื้อเรื่องก็ยังเกิดขึ้นในระยะเวลาอันสั้นอยู่ดี
สิ่งที่มีเสน่ห์ในเล่มนี้และทำให้รู้สึกว่ายอมรับพฤติกรรมของตัวละครได้
คงจะเป็นช่องว่างของเวลานี้เองค่ะ
อาจารย์ได้วางระยะเวลาดำเนินเรื่องไว้กว้างมากกว่าหลายเรื่องพอสมควร
ตั้งแต่เปิดเรื่องมา กว่าเคะจะได้ลุกขึ้นมาจากอาการบาดเจ็บสาหัส
ทำอะไรเป็นเรื่องเป็นราวก็เกือบสองอาทิตย์
ทำงานบ้านอีกร่วมเดือนจนเกิด Conflict ของเรื่อง
เคะก็มีงานทำอีกเกือบปี (หรือครึ่งปี) จากนั้นมาอยู่กันว่างๆ อีก 4 เดือน(ละมั้ง)
...กว่าจะจบเรื่องได้กินเวลาร่วม 2 ปี
ยิ่งคิดตาม Theme ของเรื่องว่า Silent Desire แล้ว
การที่ต่างฝ่ายต่างเก็บงำความรู้สึกของตัวเอง
คำน้อยออกจากปากสักนิดก็ไม่มีได้แต่ตะโกนกู่ก้องร้องดังอยู่ในใจจนแทบบ้า
ใช้เวลาเป็นสิบๆ เดือนช่วงเวลาเป็นเหตุเป็นผลของความกดดันนี่ล่ะค่ะ
ที่ทำให้การกระทำต่างๆ ยอมรับได้
และเมื่อถึงเวลาระเบิดออกมา ก็รุนแรง สะเทือนอารมณ์ได้ดีทีเดียว
ตัวประกอบ ที่ประทับใจที่สุดเห็นจะเป็นโคไซ...(ซึนอีก)
ยากุซ่าที่เลี้ยงนายเอกเป็นเมียน้อยมาสิบปี
ย่อมไม่ได้มีเพียงความรักใคร่ใหลหลงธรรมดาฉากที่ปรากฏตัว
หลังจากมอบเคะให้กับเมะไปแล้ว
เขาก็ได้มาเยี่ยมเยียนถึงความเป็นอยู่ของเคะ
เป็นการมาที่น่าจะแฝงด้วยความรู้สึกสับสนหลายอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นความอาลัย อยากขอตัวคืน ปล่อยไป
แต่สุดท้ายเขาก็กลับยอมรับกับคำตอบสั้นๆ คำเดียว
" นึกโกรธแค้นฉันบ้างรึเปล่า ? "
" ไม่เลยครับ "
จากนั้นก็ไม่ถามอะไรอีก และลากลับ
ความประทับใจในฉากนี้
ก็คือการแสดงออกถึงความรักของคนปากแข็งทั้งสามพร้อมๆ กัน
การปกป้องภายใต้ทิฐิของเมะ
ความปรารถนาที่จะได้อยู่ด้วยกันของเคะ
และความรักของโคไซ ที่ได้เห็นคนที่ตนรักมีชีวิตที่ดี
แม้อีกฝ่ายไม่เคยรักตน แต่แค่ได้รู้ว่าไม่โกรธแค้นเคืองกันก็พอใจ
เป็นความรักที่ยกระดับขึ้น มากกว่าฉันท์คนรัก
แผ่ขยายครอบคลุมไปถึงฐานะของพ่อ ของผู้ปกครอง
ของเจ้านาย ที่อยู่ร่วมกันมานับสิบปีด้วย
ส่งผลให้เป็นฉากที่ประทับใจเป็นที่สองของเล่มเลยค่ะ ^^,,
พ่อตัว พระเอก ก็เช่นกันค่ะ นอกจากจะ(ซึนอิ๊บเอ๋ง) แล้ว
ยังพยายามซ่อนความซึนเอาไว้ เกือบจะแนบเนียนอีกต่างหาก
ในขณะที่ให้นายเอกเกือบจะจับไต๋เอาได้เรื่อยๆ
ส่วนที่น่ารักมากของ เคะ นอกจากความดีในตัวแล้ว
(อันที่จริงความดีในตัวเคะนี่ ฮิฯ อ่านแล้วรู้สึกตะขิดตะขวงใจ
เหมือนว่าอันที่จริงเธอก็ปล่อยๆ ชีวิตไปเป็นขยะตามน้ำชอบกล
ภายในจิตใจอื้อหือดื้อดึงต่างๆ นาๆ เอาเข้าจริงๆ ก็ก้มหน้ารับคำสั่งงุด
เหมือนกับความใจดีที่เกิดขึ้น
มันอยู่ที่เหตุการณ์จะพาไปตกเอาตรงไหนก็ตามแต่มากกว่า เลยทำๆ ไป)
เธอยอมเป็นช้างเท้าหลังที่ดี เป็นศรีภรรยา
ขนาดที่ว่ารู้ไต๋เขาหมด(ในตอนพิเศษ) ก็ยังดีใจเงียบๆ
ไม่บอกเมะให้กระโตกกระตากว่า 'นี่แน่ะ รู้หมดแล้วนะ'
แต่บอกกันด้วยใจ ด้วยร่างกาย...
เป็น Silent Desire จริงๆ ค่ะ
ฮิฯ ชอบนะคะ สำหรับคู่นี้ และมั่นใจว่า
เรื่องนี้ไม่ใช่หนังสือที่อ่านแล้วเลยผ่านลืมไปตามกาลเวลาเล่มหนึ่ง
เพราะแม้พล็อตจะดาษดื่น แต่เนื้อเรื่องน้ำเน่าได้
โดยตัวละครไม่มีน้ำตาตกหกเรี่ยราดมากมาย
ตัวละครยอมอกไหม้ใส้ขมแบบนี้ เจออยู่ไม่กี่เรื่องค่ะ
สรุป แล้ว จุดที่น่าประทับใจของเรื่องนี้
คงเป็นอย่างที่อาจารย์โทโนะว่าไว้ล่ะค่ะ
เรื่องของความรัก...ที่ไม่ยอมให้คำว่ารักได้พูดออกมา XP
ปล. อาจสังเกตเห็นว่าเขียนเรื่องของเมะ-เคะน้อยไป...
นั่นเป็นเพราะโดนตัวประกอบขโมยซีนนั่นเองค่ะ
No comments:
Post a Comment